Movei Blog

 Wish Dragon : มังกรอธิษฐาน การผจญภัยพร้อมคำขอทั้งสามประการ

  รีวิวหนังเสียดสีสังคม Parasite  

  เมื่อความแค้นกำลังกัดกินหัวใจของเราอย่างช้า ๆ คุณเคยได้ยินคำว่า “น้ำผึ้งอาบปลายมีด” หรือไม่ มันเป็นการเปรียบเปรยความร้ายกาจของอะไรบางอย่างที่มีภาพแห่งความหวานชื่นเป็นหน้ากาก ซึ่งซ่อนความโหดเหี้ยมอำมหิตไว้เบื้องล่าง ซึ่งถือเป็นความหน้ากลัวที่สุดอีกอย่างหนึ่งของจิตใจมนุษย์ หลายคนที่ได้มีโอกาสชมตัวอย่างของเรื่อง Night In Paradise อาจหลงคิดไปว่ามันเป็นเรื่องราวการล้างแค้นสุดเข้มข้น ดุดัน และเชือดเฉือน แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย เนื้องเรื่องมุ่งเน้นไปที่ความเข้าใจความหมายของชีวิต จากการตกตะกอนความคิดเมื่อต้องผ่านเรื่องราวสุดทารุณต่างหาก แต่สำหรับใครที่คาดหวังจะได้เห็นฉากต่อสู้มันส์ ๆ ก็อย่าพึ่งปิดจอหนีกันไป การันตีได้ถึงความบ้าบิ่นในหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน กับการหนีการไล่ล่าของ “แทกู” หนึ่งในสมาชิกของแก๊งมาเฟียที่เผลอให้ความโกรธแค้นเข้าครอบงำจนลงมือสังหารหัวหน้าแก๊งคู่อริ เขาตัดสินใจหนีไปอยู่เกาะเชจู ก่อนที่จะได้เจอหญิงสาวปริศนาที่กำลังหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต “แจยอน” ที่อยากจะหลีกหนีความทุกข์ของชีวิตที่ต้องประสบ เธอต้องต่อสู้กับโรคร้ายอย่างโดดเดี่ยวพร้อม ๆ กับแผลในใจที่นับวันจะบาดล

  ซีรีย์ฟอร์มยักษ์ผลงานการสร้างจาก Netflix ที่จะพาพวกเราทุกคนก้าวเข้าสู่โลกในอนาคตอันใกล้ ที่เกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ซึ่งบอกได้เลยว่าถือเป็นความหลักแหลมในการใช้สถานการณ์ช่วงโควิด 19 ให้เข้ากับบริบทของเรื่องได้อย่างแนบเนียน ทำให้เรารู้สึกอินกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นพิเศษ โดยซีรีย์เปิดฉากมาที่ความโกลาหลที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ ตอนนี้มีไวรัสประหลาดแพร่ระบาดไปทั่ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดและมีลักษณะเด่นชัดตรงข้อนิ้วก้อยที่สั่นจนสังเกตเห็นได้ แต่ก็ยังมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นที่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นหนทางการแก้ไข หรือต้นตอของความหายนะครั้งนี้กันแน่ เพราะทันทีที่มีเด็กทารกกำเนิดออกมาพวกเขาทั้งหมดก็มีลักษณะพิเศษคือเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ เรียกว่า “ไฮบริด” แน่นอนว่าในเมื่อคำตอบยังไม่กระจ่างผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หวาดกลัวก็ต้องการกำจัดพวกไฮบริดให้สิ้นซาก ทำให้ “ริชาร์ด” ต้องรีบพาตัวลูกชายแรกเกิดอย่าง “กัส” ไฮบริดตัวน้อยครึ่งกวางครึ่งมนุษย์ออกไปหลบซ่อนกลางป่าลึก ริชาร์ดเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ดีและยอดเยี่ยม เขาสอนหลาย ๆ สิ่งและสำคัญกว่านั้นคือพยายามปกป้องลูกชายของ

  พิกซาร์ได้ปล่อยตัวอย่างแรกของ “ Dug Days” การ์ตูนสั้นชุดแบบจบในตอนที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตในสนามหน้าบ้านแต่ละวันของเจ้าดั๊ก หมาในหนัง “ Up” ออกมาครับ ซึ่งจะออกฉายทางดิสนีย์พลัสในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้   ขณะที่เจ้าดั๊กจอมติงต๊องเป็นพระเอก การ์ตูนชุดนี้ก็ยังมีทั้งคาร์ลและรัสเซลมาร่วมรับบทสมทบให้ด้วย พร้อมทั้งกระรอกโชคร้ายที่ดันมาอยู่บนต้นไม้แถวนั้น   บ็อบ ปีเตอร์สัน ที่ร่วมกำกับหนัง “ Up” ต้นฉบับ กลับมากำกับการ์ตูนสั้นชุดนี้ พร้อมทั้งรับหน้าที่เขียนบท และให้เสียงเป็นดั๊ก โดยมีคิม คอลลินส์ รับหน้าที่ควบคุมงานสร้าง ถ้าใครเคยดูอนิเมชั่นเรื่อง Up จากสตูดิโอพิกซาร์ คงจำได้ถึงความน่ารักและขี้เล่นของเจ้าดั๊ก ( Dug) หมาพันธุ์โกลเดนรีทรีเวอร์ที่สวมปลอกคอพูดได้ ความน่าเอ็นดูของเจ้าดั๊กก็โดดเด่นและเป็นที่ชื่อชอบของแฟนๆ อนิเมชั่นเอามากๆ จนทางดิสนีย์และพิกซาร์ตัดสินใจทำซีรีส์ออริจินัลเรื่องสั้นให้เจ้าดั๊กซะเลย Dug Days เป็นเนื้อเรื่องหลังจากการผจญภัยในอนิเมชั่น Up ที่คุณปู่คาร์ลขายเรือเหาะลอยฟ้า Spirit of Adventure และนำเงินมาซื้อบ้านแถบชานเมือง ซีรีส์แต่ละตอนก็จะเล่าชีวิตประจำวันของเจ้าด

  ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากในฉากแอ็กชัน ซึ่งรวมถึงหนึ่งหรือสองวินาทีที่มุมมองเป็นบุคคลที่หนึ่งอย่างชัดเจนเพื่อสะท้อนวิดีโอเกม แต่ก็ไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้ดู ลำดับการกระทำเฉพาะเรื่องหนึ่งที่น่าจดจำ แต่ส่วนที่เหลือขาดความรู้สึกของการแต่งตัวสวย แม้แต่เบาะแสทั้งหมดก็ยังเร็วเกินไปที่จะแก้ สิ่งที่อาจทำให้ท้อใจที่สุดคือ  Uncharted  ซึ่งหมายถึงเกี่ยวกับ Nathan Drake ดูเหมือนจะไม่ค่อยลงทุนในตัวเขาเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เกี่ยวข้องกับ Sully ของ Wahlberg มากกว่า Nate และแม้แต่ตัวละครรวมถึง Chloe และ Braddock ก็มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับอดีตของ Sully มากจน Nate ถูกกีดกันในเรื่องของตัวเองบ้าง   ฮอลแลนด์มีบทบาทในบทนี้ได้ดี แต่ประเด็นคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่า Nate Drake เป็นใคร แม้แต่ในช่วงแรกๆ ของเขา และมันก็ลากเรื่องราวลงไป ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับใครก็ได้ที่มีรูปแบบการเขียนของ Nate และนั่นไม่ได้สร้างมาเพื่อตัวละครที่มีความรอบรู้ซึ่งการปรากฏตัวและลักษณะเฉพาะใน เกม Uncharted นั้นแข็งแกร่ง Wahlberg เป็น Sully มีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่า Holland อย่าง Nat

  เมื่อปี 1996 โลกได้รู้จักกับหนังภาคแรกของหน้ากากผีที่ถูกจดจำมาจนทุกวันนี้ หนังมีภาคต่อที่ตามติดมาเพราะความโด่งดังของมัน รวมแล้วเป็น 4 ภาคก่อนจะเงียบหายไป ผ่านมาถึงปัจจุบัน เป็นเวลาร่วม 26 ปีเข้าไปแล้ว ผู้คนยังคงจดจำซิดนีย์ จดจำเกล แต่ก็ไม่มีทางจะเท่ากับจดจำหน้ากากผีอันเป็นเอกลักษณ์นั้นได้ และเมื่อมีการสร้างภาคที่ห้าที่ทิ้งห่างจากภาคก่อนราว 10 ปีเศษ ผู้คนที่เคยผ่าน 4 ภาคย่อมจะตื่นเต้นอยู่ในใจ วันนี้ มาถึงแล้ว Scream 5 หรือชื่อไทย หวีดสุดขีด ภาคที่ห้าในหนังสยองตระกูลหวีด   จากผลงานการกำกับของ Wes Craven ครั้งนี้เป็นทีของ Matt Bettinelli-Olpin และ Tyler Gillett ( ที่มีผลงานน่าชื่นชมจาก Ready or Not) ผู้ที่ร่วมกันกำกับเพื่อสดุดีแด่เวส คราเว่น บทหนังที่ได้ James Vanderbilt และ Guy Busick มาช่วยกันเขียนโดยใช้คาแรกเตอร์ที่ Kevin Williamson ได้เริ่มต้นไว้ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา เมื่อลูกๆ ของคนในภาคเก่าโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว   เรื่องย่อ Scream 5 เปิดเรื่องมาด้วย ทาร่า สาววัยรุ่นที่อยู่บ้านคนเดียวได้รับสายโทรศัพท์ปริศนาที่บุกเข้ามาบ้านเธอเข้ามาบ้านใช้มีดกระหน่ำแทง แต่

  Artemis Fowl   อาร์ทิมิส ฟาวล์ อัจฉริยะวัย 12 และทายาทจากตระกูลอาชญากรหัวใสหลายรุ่น พบว่าตนต้องต่อสู้กับนางฟ้าใต้ดินผู้ทรงพลังและอาจอยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของพ่อเขา Artemis Fowl   เป็นภาพยนตร์จากดิสนีย์อีกหนึ่งเรื่องที่มีการนำเอานวนิยายชื่อดังมาดัดแปลงและสร้างในรูปแบบภาพยนตร์ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเพราะการดัดแปลงนำเอาเรื่องราวในนวนิยายมาเล่าในรูปแบบภาพยนตร์ให้ออกมาเหมือนกับฉบับนิยายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องแบกรับความหวังตามจินตนาการของผู้เป็นแฟนคลับของนิยายอีกด้วย หากไม่สามารถทำออกมาได้ตรงกับจินตนาการของพวกเขาก็อาจจะถูกสาปแช่งได้ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ไม่ได้อ่านนวนิยายโดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีความน่าสนใจไม่น้อย สามารถรับชมเพื่อฆ่าเวลาได้แต่ก็อาจจะไม่ได้คุ้มค่าแก่การรับชมขนาดนั้น เพราะมีจุดด้อยหลายอย่างที่จุดดีไม่อาจกลบเอาไว้ทั้งหมดได้ เอาเป็นว่าหากคุณมีเวลาว่างเหลือเฟือแล้วต้องการจะหาภาพยนตร์รับชมเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เรื่องราวของ อาร์ทิมิส ฟาวล์ นั้นบอกเล่าถึงมหา